ในไทย มีคนฉีดฟีลเลอร์แล้วตาบอดกี่ราย? ในต่างประเทศรายงานตาบอดแล้วกว่า 98 ราย และตาย 1คน ฉีดฟีลเลอร์ปลอดภัยจริงไหม ????

การฉีดฟีลเลอร์ หรือสารเติมเต็ม  เป็นที่นิยมไปรับบริการกันมากขึ้น   เพราะเห็นผลทันทีหลังฉีด จมูกโด่งเลย ร่องแก้มหายเลย  เรียกได้ว่า สวยทันที หล่อทันที

จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุ ผลข้างเคียงจากการฉีดฟีลเลอร์มากขึ้นเรื่อยๆ  ดั่งที่ได้พบตามข่าว  ซึ่ง ตาบอด  คืออุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่สุด






ปัจจุบัน วารสารทางการแพทย์มีรายงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุตาบอดภายหลังฉีดฟีลเลอร์เพิ่มขึ้น เป็นจำนวนมาก
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/?term=Filler+blindness

สรุปรายงานจากต่างประเทศ รวบรวมเคสที่เกิดอุบัติเหตุทางตา ภายหลังการฉีดฟีลเลอร์  มากถึง 98 ราย  !!!!!


มีอาการพิการทางสมองหลายราย  และเสียชีวิต 1 ราย !!!!!!!!!



และในประเทศไทย พบผู้ป่วยที่ตาบอด ภายหลังการฉีดฟีลเลอร์แล้วหลายราย แต่ยังไม่มีการรวบรวมเขียนเป็นรายงาน
แพทยสภา ควรจะรวบรวมเคสมาแจ้งรายละเอียดให้ประชาชนทราบ


ฉีดฟีลเลอร์ ทำไมถึงตาบอด ????   ตาบอดทันทีไหม ???   ถ้าฉีดไปนานแล้วจะตามบอดทีหลังได้ไหม ??  คุ้มความเสี่ยงไหม ??
ผลข้างเคียงจากการฉีดฟีลเลอร์ที่ทุกคนควรรู้ไว้ และเฝ้าระวัง  มีอะไรบ้าง เพื่อการรักษาได้ทันท่วงที





ฟีลเลอร์ ( Filler ) คืออะไร ?

ฟีลเลอร์ Filler มาจากคำว่า Fill ที่แปลว่า เติม  ดังนั้น ฟีลเลอร์ คือ สารเติมเต็ม  

นำมาใช้เพื่อการเติมเต็ม แก้ไขบริเวณที่ยุบตัวลง เป็นร่อง เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก


หรือ ใช้เสริมสร้าง เช่น เติมบริเวณจมูก  เติมคาง  เติมใต้ตา  เติมแก้มส้ม  เติมปาก เติมหน้าผาก

จมูก


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

หน้าผาก




ซึ่งสารที่จะเอามาฉีดเป็นสารเติมเต็ม  นึกภาพก็จะคล้ายๆเทียน  คือ ตอนฉีด มีลักษณะเป็นของเหลว เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะแข็งตัวขึ้นเป็นรูป

แบ่งเป็น สารเติมเต็มที่สลายได้ ได้แก่สารไฮยาลูโรนิก ( Hyaluronic acid หรือ HA)     แคลเซียมไฮดรอกซีอปาไทด์ (Calcium hydroxyapatite ) ,  คอลลาเจน (ฺBovine collagen )  ซึ่งระยะเวลาที่ฟีลเลอร์จะคงรูปอยู่ก่อนสลายก็จะแตกต่างกัน ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 18เดือน แล้วแต่ชนิดของสารที่ฉีด
และสารเติมประเภทสลายไม่ได้ เช่น ซิลิโคน   พาราฟิน  และอื่นๆ  สารเหล่านี้จะอยู่ในชั้นผิวตลอดไป

นอกจากนี้ อาจหมายรวมถึงการฉีด  ไขมันตัวเอง ( Autologous Fat )  เข้าไปเติมเต็ม ก็มีความนิยมเช่นกัน


ซึ่ง  ในประเทศไทย องค์การอาหารและยา อนุญาตให้ใช้เฉพาะสารเติมเต็มที่สลายได้ ชนิด Hyaluronic acid  หรือ HA เท่านั้น  เนื่องจากมียาที่สามารถนำมาฉีดสลาย HA ได้หมดทันที

ปัจจุบัน HA filler มี ผ่านอย.หลายยี่ห้อ
สามารถเข้า Link ของอย. http://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/DSerch.asp  ตรวจสอบค้นหา ชื่อสาร ว่า "hya" ได้ ก็จะขึ้นชื่อ ฟีลเลอร์ที่ผ่านอย.ของไทย



เช่น

Restylane

http://restylane.asia/th/?epslanguage=th-TH

Juvederm


https://www.juvederm.com/

ซึ่งในแต่ละยี่ห้อ จะมีหลาย Product ขึ้นกับคุณสมบัติ เช่นความแข็งตัว ระยะเวลาการคงตัว จะแตกต่างกันตามบริเวณที่ต้องการเติม
รายละเอียดในส่วนนี้ขอข้ามไปก่อน

ยาที่สลายฟีลเลอร์ เรียกว่า Hyaluronidase   สามารถสลายฟีลเลอร์เฉพาะชนิด  HA ได้หมด











สาเหตุที่ทำให้ตาบอด  นั้น เกิดจากการที่ จอประสาทตา ขาดเลือดไปเลี้ยง

ซึ่งจากภาพแสดงให้เห็นเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตา   จะมีการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายรอบตา  




คำถามคือ  ฉีดฟีลเลอร์ ที่จมูก   /  ฉีดที่ร่องแก้ม  / ฉีดที่หน้าผาก   ไกลจากตา  ทำไมถึงตาบอด





จากภาพแสดงให้เห็นถึงโยงข่ายของเส้นเลือด  ที่เชื่อมต่อถึงกัน ตั้งแต่จากด้านล่างของใบหน้า ขึ้นมาที่มุมปาก  ร่องแก้ม  ไปที่จมูก และไปที่ตา

และจากหน้าผาก เชื่อมมาที่ตา



ดังนั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ที่ฟีลเลอร์ เข้าไปในเส้นเลือดใดๆก็ตาม  ก็สามารถวิ่งเข้าสู่จอประสาทตาในที่สุด

ภาพตัวอย่าง เอกเรย์คอมพิวเตอร์เส้นเลือดบริเวณหน้า



ตัวอย่างจาก วารสารจากประเทศจีน กล่าวถึงอุบัติเหตุการไปอุดเส้นเลือดในตา ภาพหลังจากการฉีดฟีลเลอร์ประเภท Autologous Fat ( ฉีดไขมัน)   , คอลลาเจน และ สาร ไฮยาลูโรนิค  ใน 13เคส    โดยบริเวณที่ฉีด ได้แก่ หน้าผาก  รอบตา  ขมับ  จมูก และ ร่องแก้มข้างจมูก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

Fundus artery occlusion caused by cosmetic facial injections

Chen Yanyun, Wang Wenying, Li Jipeng, Yu Yajie, Li Lin and Lu Ning

ภาพ ที่ 1 แสดงให้เห็นจอประสาทตา ที่ขาดเลือดไปเลี้ยง  บริเวณกลางจอประสาทตา (สีซีดๆเหลือง)    1B คือ ภาพจอประสาทตาหลังจากเกิดเหตุ 1 เดือน พบว่าจอประสาทตาเสียไปทั้งหมด เป็นแผลเป็น  ทำให้ตาบอดถาวร
http://124.205.33.103:81/ch/reader/view_abstract.aspx?file_no=20133254&flag=1


เทียบกับจอประสาทตาปกติ   วงส่วนกลางจอประสาทตา เรียกว่า Macula  เป็นส่วนที่มีเซลล์รับแสง จำเป็นต่อการมองเห็น




นอกจากนี้แล้ว จากภาพ หมายเลข 5 และ 6 ด้านบน   จะเห็นแผลบริเวณผิวหนัง  เป็นแผลที่เกิดจากการที่ผิวหนังบริเวณที่ฉีดฟีลเลอร์เข้าอุดเส้นเลือด เกิดการขาดเลือด จนเนื้อตาย


ล่าสุด มีการรวบรวมเคส จากวารสารต่างๆ พบว่า มีเคสที่มีปัญหาตาบอดหลังจากฉีดฟีลเลอร์ สูงถึง 98 เคส    และเกือบทุกราย ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้อีก

Avoiding and Treating Blindness From Fillers: A Review of the World Literature
Beleznay, Katie MD, FRCPC, FAAD*; Carruthers, Jean D. A. MD, FRCSC, FRC (OPHTH), FASOPRS†; Humphrey, Shannon MD, FRCPC, FAAD*; Jones, Derek MD‡,§

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จากภาพ คือ บริเวณที่ผู้ป่วยฉีดฟีลเลอร์ ก่อนที่จะมีอุบัติเหตุตาบอดเกิดขึ้น


ได้แก่ บริเวณหว่างคิ้ว ( Glabella) 38 ราย
บริเวณจมูก 25 ราย
บริเวณร่องแก้ม (nasolabial fold) 13 ราย
บริเวณหน้าผาก 12 ราย
บริเวณรอบตา 6 ราย
บริเวณขมับ 5 ราย
บริเวณแก้ม 5 ราย
อื่นๆได้แก่ การฉีดบริเวณหนังตา (4 ราย )  ริมฝีปาก (3 ราย) และ คาง (1 ราย)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

โดยสารที่ใช้ฉีด ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงที่สุด คือ การฉีดไขมัน ( Fat)  ตามมาด้วย HA  และ คอลลาเจน ตามลำดับ





https://www.researchgate.net/publication/281680708_Avoiding_and_Treating_Blindness_From_Fillers_A_Review_of_the_World_Literature


นอกจากนี้แล้ว พบว่า   23 case ที่พบว่า มีความผิดปกติของสมองร่วมด้วย  ได้แก่ อาการสมองขาดเลือด
และมี 1 case เสียชีวิต  หลังจากมีอาการ โคม่า

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ตัวอย่างการรายงานจากวารสาร ที่ผู้ป่วย มีอาการตาบอด และสมองขาดเลือด ภาพหลังจากการฉีดฟีลเลอร์ประเภท HA บริเวณจมูก
Severe visual loss and cerebral infarction after injection of hyaluronic acid gel.
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/24621723



(ภาพตาขวาที่ผิดปกติ  และมีผิวหนังบริเวณจมูกสีม่วง แสดงถึงภาวะขาดเลือด)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้




ต่อมา อาจจะมีคนสงสัยว่า  ในเมื่อเรารู้ว่า เส้นเลือดวางตัว อยู่ตามภาพ  ทำไมไม่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เข้าไปโดนเส้นเลือดได้ 100% หรือ




คำตอบคือ  เราไม่มีทางรู้ 100% ว่าเส้นเลือดของคนนั้นๆ อยู่ที่ได้แน่  มีการเชื่อมโยง มีแขนง อย่างไร  เพราะมนุษย์เรามีความแตกต่างกัน  
จากภาพมีการศึกษาพบว่า เส้นเลือดหลัก ที่เชื่อมโยงไปยังตานั้น มีลักษณะแตกต่างกันได้หลายแบบ


ดังนั้น ถึงแม้แพทย์จะเชี่ยวชาญแค่ไหน  ก็ไม่มีการันตีได้ว่า จะฉีดไปโดนเส้นเลือดหรือไม่  
เพราะเส้นเลือด อยู่ใต้ผิวหนัง  เรามองไม่เห็น




นอกเหนือจาก อุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่สุดหลังการฉีดฟีลเลอร์ คือ ตาบอด และสมองขาดเลือด  ข้างต้น

กรณีที่ฟีลเลอร์ไม่ได้อุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตา   ฟีลเลอร์สามารถอุดเส้นเลือดบริเวณอื่นๆ ได้ทั้งหมด  
ซึ่งจะทำให้เกิดผิวหนังขาดเลือดไปเลี้ยง  ทำให้เกิดเนื้อตาย เป็นแผล  และเหลือเป็นแผลเป็น


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้




โดยอาการและอาการแสดงของการอุดตันเส้นเลือดแดง ได้แก่
- ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บ ปวด หลังจากที่ฉีดฟีลเลอร์เสร็จไปแล้ว
- ผิวหนังบริเวณที่ฉีด จะมีสีซีด  ในช่วงแรก  ต่อมา  จะเริ่มแดงม่วง
เมื่อทิ้งไว้นานขึ้น จะกลายเป็นเนื้อตายสีดำ มีตุ่มหนอง และมีแผล





ซึ่งถ้ากรณีที่คนไข้ และแพทย์ รับทราบปัญหาได้ไว โดยที่ปัญหาเกิดตามหลังการฉีดฟีลเลอร์ประเภท HA
จะสามารถแก้ไขโดยการฉีดยาสลาย ที่เรียกว่า Hyaluronidase  จะทำให้ลดโอกาสการเกิดเนื้อตายและลดการเกิดแผลเป็นได้


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จากภาพ สังเกตได้ว่า ผิวหนังบริเวณหน้าด้านขวาของผู้ป่วย บริเวณจมูก และบริเวณปากมีสีออกม่วง  ซึ่งแสดงถึงภาวะขาดเลือด
ผู้ป่วยรายนี้ได้รับการรักษา ด้วยการฉีดยาสลาย HA  ในวันต่อมา   ทำให้อาการไม่ลุกลาม  และดีขึ้นเรื่อยๆ    

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้






สำหรับผลข้างเคียงอื่นๆ ภาพหลังการฉีดฟีลเลอร์  ที่ไม่ร้ายแรงเท่าการฉีดเข้าไปอุดเส้นเลือด มีอีกหลายอย่าง



โดยผลข้างเคียง แบ่งเป็น
1. ผลข้างเคียงที่เกิดหลังจากฉีดฟีลเลอร์ไม่นาน  ( Early complication )
- อาการแดง
- อาการบวม
- อาการช้ำ
- การปูดเป็นก้อน
- ผิวหนังซีดหรือเปลี่ยนสี
- ผิวหนังขาดเลือดตาย
- การติดเชื้อ



2. ผลข้างเคียงที่พบหลังจากการฉีดฟีลเลอร์ในช่วงเวลาที่นานขึ้น ( Late complication )
- การเป็นก้อนแกรนูโลม่า ( Granuloma ) จากปฏิกริยาที่ผิวหนังทำกับฟีลเลอร์ ห่อหุ้มกลายเป็นก้อนถาวร
- การเคลื่อนของฟีลเลอร์
- การเกิดแผลเป็นนูน
- การเกิดเส้นเลือดฝอยผิดปกติบริเวณที่ฉีด
- ผิวหนังผิดปกติ
- การติดเชื้อ



ซึ่ง ผลข้างเคียง ต่างๆ สามารถทำการแก้ไข้ รักษาได้  

โดยถ้าได้รับการรักษารวดเร็ว ก็จะมีอาการที่ดีขึ้น และหายขาดได้


ดังนั้นเมื่อทุกคนไปทำการฉีดฟีลเลอร์มาแล้ว ควรจะต้องสังเกตอาการตัวเองให้ดี  ถ้ามีอาการผิดปกติ  ต้องไปรีบพบแพทย์ที่ทำการฉีดฟีลเลอร์ให้เร็วที่สุด  เพราะถ้ามีผลข้างเคียงสิ่งใดร้ายแรง  โดยเฉพาะการอุดตันเส้นเลือด จะได้รับทำการแก้ไข

และสิ่งสำคัญอีกสิ่งคือ  ถ้าจะฉีดฟีลเลอร์  ควรจะฉีดเฉพาะที่เป็นสาร HA ที่มียาสลายได้เท่านั้น  
เพราะเมื่อมีอุบัติเหตุ ผลข้างเคียงต่างๆเกิดขึ้น จะได้ทำการฉีดสลายสาร HA ออกไปได้หมดในทันที

สำหรับการใช้ฟีลเลอร์ชนิดอื่น หรือไขมันตัวเองเป็นฟีลเลอร์นั้น ถึงแม้ว่าจะสลายไปได้ แต่ต้องใช้เวลาในการสลายตัวเองหลายเดือน   ไม่มียาไปสลายสารนั้น
ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น การอุดตันเส้นเลือด   ผิวหนัง และตา ไม่สามารถรอให้เกิดภาวะขาดเลือดได้นาน   จึงเป็นความเสี่ยงสูงมาก








การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการฉีดฟีลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอุดตันเส้นเลือด


1. หลีกเลี่ยงการฉีดฟีลเลอร์  

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลายอย่าง ที่ช่วยในการลดริ้วรอย ทำให้ร่องลึกดีขึ้นได้  โดยไม่ต้องฉีดฟีลเลอร์ เช่นการทำเลเซอร์ การใช้คลื่นความถี่วิทยุ และคลื่นอัลตราซาวด์ในการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว เพื่อการกระชับผิวหน้า

แม้ว่าวิธีเหล่านี้ จะไม่สามารถแก้ไขร่องลึกได้ 100%  แต่ความเสี่ยงและผลข้างเคียงจะต่ำกว่า


2. หลีกเลี่ยงหรือ งดฉีดฟีลเลอร์ บริเวณที่มีความเสี่ยงสูง

จากรายงานที่เกิดตาบอดหลังจากฉีดฟีลเลอร์  บริเวณที่เสี่ยงมากได้แก่  หน้าผาก  หว่างคิ้ว จมูก ร่องแก้ม ขมับ  และรอบดวงตา  



3. ฉีดฟีลเลอร์ชนิดที่เป็น HA ที่สลายได้ และมียาสลาย  โดยเลือกใช้ยี่ห้อชนิดที่ผ่านมาตรฐานองค์การอาหารและยาเท่านั้น

เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้น จะได้ทำการฉีดยาสลาย ( Hyaluronidase ) ได้  ลดการเกิดผลร้ายแรงในระยะยาว


4.  เลือกสถานประกอบการที่มีความพร้อม  ทั้งแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง    ,  เลือกฉีดในโรงพยาบาลที่มีความพร้อม  มียาสลายฟีลเลอร์  และมีอุปกรณ์พร้อมในการรักษาผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น

ในปัจจุบัน ได้มีคำแนะนำให้ใช้การฉีดโดยใช้เข็มทู่  เรียกว่า เข็มบลันท์  ( Blunt canula)  





โดยมีแนวคิดที่ว่า เข็มทู่ จะไม่ไปเจาะเส้นเลือดให้ฉีดขาด จนทำให้ฟีลเลอร์เข้าไปในเส้นเลือด


แต่อย่างไรก็ดีพบว่า  รายงานเคสที่ตาบอด  ก็มีการใช้เทคนิคการฉีดด้วย เข็มทู่ เช่นกัน   รวมถึงแพทย์ผู้ทำการฉีดในหลายเคส ก็เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ก็สามารถเกิดอุบัติเหตุได้

จึงไม่ใช่การป้องกันได้ 100%


5. เมื่อผู้ถูกฉีดฟีลเลอร์ มีอาการผิดปกติใดๆ ต้องรีบแจ้งแพทย์ผู้ทำการฉีดทันที
เช่น  
- ปวด เจ็บมาก  บริเวณที่ฉีด  ขณะที่ทำการฉีด
- ปวดศีรษะ  ตามัว เห็นภาพซ้อน  คลื่นไส้ อาเจียน

รวมถึงต้องสังเกตอาการภายหลังจากฉีดฟีลเลอร์ไปแล้ว  
เช่น
- สังเกตสีผิวบริเวณที่ฉีด   ถ้าสีเปลี่ยนแปลง  คล้ำม่วงมากขึ้น หรือสีแดงผิดปกติ  
- มีตุ่มหนอง  ก้อนนูน บริเวณที่ฉีด

ควรกลับไปให้แพทย์ผู้ฉีดดูอาการทันที    และถึงแม้ว่า ถ้าให้แพทย์ดูในครั้งแรกแล้วแพทย์แจ้งว่าปกติ  ผู้ที่ถูกฉีดฟีลเลอร์ยังจะต้องสังเกตอาการและความเปลี่ยนแปลงของอาการต่อไปอีก  ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรืออาการเปลี่ยนแปลงแย่ลง  ต้องรีบไปพบแพทย์ซ้ำ

เพราะบางอาการ เช่น อาการขาดเลือด จากการที่ฟีลเลอร์ไปกดทับเส้นเลือดดำ  ในช่วงแรกจะยังไม่มีอาการแสดงในทันที (ถ้าฟีลเลอร์อุดตันเส้นเลือดแดง จะมีอาการในทันที)  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  1-3 วัน จะเริ่มมาอาการที่ผิวหนังบริเวณนั้นๆขาดเลือดได้ , การติดเชื้อ  จะพบว่ามีก้อน บวมเจ็บ  ตามหลังจากการฉีด 3-7 วัน เป็นต้น



สุดท้ายนี้ ขอสรุปว่า  ผลข้างเคียงต่างๆจากฟีลเลอร์  ไม่ได้เกินขึ้นบ่อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอุดตันเส้นเลือด ที่ทำให้เนื้อตายหรือตาบอด
แต่ทุกคนควรจะทราบไว้ และพิจารณาว่า เราจำเป็นที่จะต้องเสี่ยงฉีดฟีลเลอร์หรือไม่




สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
สาวไทย ไม่กลัวตาย กลัวไม่สวย
บทความพวกนี้ เกิน 8 บรรทัด อ่านไม่ได้ เดี๋ยว ขอบตาดำครับ

มีเตือน มีตายทุกวัน มีหน้าเน่า จมูกเน่า ปากเบี้ยว ปากบางจนกินน้ำแล้วน้ำไหลออกปาก
ดูดไขมัน แขนเป็นหลุม เป็นไต

แต่คลีนิค เอาเงิน อุด เลยไม่มีข่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่